คนทุกระดับชั้นต้องการปัจจัย 4 (อาหารการกิน เครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค) และปัจจัยที่ 5 คือการศึกษาของลูก รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ท่องเที่ยว ฯลฯ การประกันชีวิตจะช่วยให้ครอบครัวเหล่านี้คงสภาพการดำรงชีวิตเหมือนปกติ หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีกิน และนี่คือกลุ่มสังคมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
สำหรับคนที่ร่ำรวย มีชื่อเสียงมียศศักดิ์ในสังคมก็จะยิ่งมีความต้องการมากขึ้นไปอีก Basic Need และสิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่พอ เขาต้องการความมั่นคงในอนาคต เขาต้องการรักษาสถานภาพให้คงนานที่สุด สำหรับกลุ่มนี้เป็นกลุ่มพิเศษที่มีความต้องการสูงและมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ต้องการรักษาชื่อเสียง เกียรติภูมิ ความร่ำรวย ความผาสุข ความมั่นคงให้อยู่กับลูกหลานนานๆ ดังนั้น การประกันชีวิตก็จะเข้าไปช่วยทำให้ความปราถนานี้เป็นความจริง
การประกันชีวิตไม่ใช่ประกันแล้วไม่ตาย หรือประกันแล้วอายุยืน แต่ประกันชีวิตคือ
- การประกันรายได้ ... ถ้าหัวหน้าครอบครัวจากไป รายได้ยังคงอยู่ให้ลูกเมีย
- การประกันรายจ่าย ... รับรองว่ามีเงินใช้จ่ายในครอบครัว แม้หัวหน้าครอบครัวจากไป
- การประกันอุบัติเหตุ ... เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งมนุษย์หลีกหนีไม่พ้น (ทั้งอุบัติเหตุ เจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล มีเงินรักษา)
- การประกันการศึกษา ... บุตร ธิดาได้เรียนจบแม้พ่อแม่จะจากไปก่อน
- การออมทรัพย์ ... ไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินในบั้นปลายของชีวิต ไม่เก็บก้ไม่เหลือ ลืมเก็บก็ลืมเหลือ
- การลงทุน ... ที่ไม่เสี่ยงภัย ได้คืนตามกำหนดแน่นอนแถมความคุ้มครองชีวิต
- การประกันความสามารถ ... กว่าจะมีความสามารถเช่นวันนี้ (30-40 ปี) ก็ผ่านกาลเวลามามาก อยู่ๆ ความสามารถก็หายไป(ตาย) ประกันชีวิตก็จะเข้ามาแทนที่เอาความสามารถ (รายได้ยามมีชีวิตอยู่) กลับคืนมาส่งมอบให้ครอบครัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น